Showing posts with label ประวัติศาสตร์ไทย. Show all posts
Showing posts with label ประวัติศาสตร์ไทย. Show all posts

05 June 2011

นบีอีซาเกิดใต้ต้นอินทผาลัม ไม่ใช่ใต้ต้นคริสมาส

หลักฐาน จากซูเราะห์มัรยัมอายะที่...
23. ความเจ็บปวดใกล้คลอดทำให้นางหลบไปที่โคนตัวต้นอินทผาลัม(*1*) นางได้กล่าวว่า “โอ้ ! หากฉันได้ตายไปเสียก่อนหน้านี้ และฉันเป็นคนไร้ค่าถูกลืมเสียก็จะดี”
24. ดังนั้น เขา (มะลัก) ได้เรียกนางทางเบื้องล่างต้นอินทผลัมว่า “อย่าได้เศร้าเสียใจ แน่นอน พระเจ้าของเธอทรงจัดลำธารไว้เบื้องล่างเธอแล้ว(*1*)
25. “และจงเขย่าต้นอินทผลัม ให้มันเอนมาทางตัวเธอ มันจะหล่นลงมาที่ตัวเธอเป็นอินทผลัมที่สุกน่ากิน”
26. “ฉะนั้น จงกิน จงดื่ม และจงทำจิตใจให้เบิกบานเถิด หากเธอเห็นมนุษย์คนใดก็จงกล่าวว่า ฉันได้บนการสงบนิ่งไว้ต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานีฉันจะไม่พูดกับผู้ใดเลยวันนี้”
คลิกที่นี่...

29 August 2008

รัชกาลที่2

ญวน พม่า และเขมรในสมัยรัชกาลที่ 2 ของไทย [29 ส.ค. 51 - 18:59]
สัปดาห์ก่อน นิติภูมิรับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพถึงเขมร ลาว ญวน พม่า ฯลฯ ประเทศรอบบ้านของไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี วันนี้ขออนุญาตรับใช้เรื่องราวของประเทศเพื่อนบ้านในสมัยรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งสมัยพระองค์ดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร พระองค์ทรงร่วมทำสงครามกับสมเด็จพระบรมชนกนาถหลายต่อหลายครั้ง
ดินแดนไทยที่ไม่มีพวกนุ่งโสร่งเป็นเจ้านายในปัจจุบันทุกวันนี้นั้น เป็น เพราะเรามีเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์กล้าเสด็จกรีธาทัพไปราชการสงครามต่อสู้กับ พวกต่างชาติอยู่เป็นนิตย์ ไทยจึงเป็นชาติยิ่งใหญ่ในสมัยต้นราชวงศ์จักรี
สมัยที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสวยราชย์ใหม่ๆ พระเจ้าปะดุงของพม่ากล้ายกทัพมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ รัชกาลที่ 2 ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดหาทัพจากเมืองหลวงยกไปป้องกัน พวกพม่าจึงแตกกระจัดพลัดพราย กระเสือกกระสนหนีตาย วิ่งไปเพื่อให้พ้นคมดาบ ของมนุษย์พันธุ์ยูเลีย (ไทย)
พ.ศ. 2362 พม่าผลัดแผ่นดิน ได้ปะหยิ่น (กษัตริย์) ใหม่ พระเจ้าจักกายแมงได้ครองราชย์ พอมีข่าวเข้าหูว่าเกิดกู๊ซิ้ดหยอก้ะ (โรคระบาด) ในไทย ปะหยิ่นองค์นี้ก็ยุให้พระยาไทรบุรีตีหัวเมืองปักษ์ใต้ ส่วนทหารพม่าก็ชุมนุมสุมหัวอยู่ที่เมาะตะมะ ฝ่ายไทยได้ทราบ รัชกาลที่ 2 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดทัพไปสกัดไว้หลายแห่ง
ต่อมาพม่าทะเลาะกับอิงกะลิ (อังกฤษ) เรื่องเมืองยะไข่กับมณีปุระ สองประเทศที่ว่าหันหน้าเข้ามาซัดกัน ผลก็คือ อิงกะลิชนะ พม่าจึงตกเป็นขี้ข้าฝรั่ง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พม่าไม่เคยเข้ามารบกับไทยอีกเลยจนกระทั่ง ปัจจุบันทุกวันนี้
ผู้อ่านท่านยังจำองค์เชียงสือของญวนได้นะครับ เมื่อเกิดกบฏไกเซิน พระองค์เข้ามาสวามิภักดิ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อไทยให้กำลังพลมอบคนไปช่วยปราบกบฏได้สำเร็จ องค์เชียงสือก็ตั้งตนเป็นกษัตริย์ พระนามว่า เจ้าพระยาลอง พระองค์ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายด้วยความระลึกนึกถึง ในพระมหากรุณาธิคุณตลอดรัชกาล ครั้นรัชกาลที่ 1 สวรรคต พระเจ้าเวียดนามยาลองยังได้ทรงจัดคณะทูตมาถวาย บังคมพระบรมศพ
ส่วนไอ้อกตัญญูไม่รู้คุณข้าวแดงแกงร้อนเห็นจะเป็นเจ้าเขมร ตอนรู้ว่าจามจะยกทัพมาตี นักองเองและพระญาติพระวงศ์เขมรเข้ามาพึ่งพระบรม โพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อนักองเอง ทิวงคตก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยากลาโหมซึ่งเป็นฟ้าทะละหะ เป็นผู้สำเร็จราชการ พอฟ้าทะละหะถึงแก่กรรม ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักองค์จันทร์เป็นสมเด็จพระอุทัยราชาปกครองเมืองเขมรสืบต่อมา
ถึงสมัยรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย คาดว่าจะมีศึกพม่าเข้ามารุกรานตอนผลัดแผ่นดิน จึงมีพระราชสาส์นตราไปถึงสมเด็จพระอุทัยราชาให้เกณฑ์ทัพเขมรเข้ามาช่วย แต่สมเด็จพระอุทัยราชาแกล้งเฉย
ส่วนพระมหาอุปโยราช พระยาจักรี พระยากลาโหม และพระยาสังคโลกยังนึกถึงข้าวแดงแกงร้อนของไทย จึงจะกะเกณฑ์กำลังไพร่พลมาช่วย สมเด็จพระอุทัยราชารู้ก็โกรธ สั่งให้พระยาแสนท้องฟ้า พระยาราชอาณา คุมกำลังไปจับพระยาจักรีและพระยากลาโหมฆ่าทิ้งทั้ง 2 คน ส่วนพระยาสังคโลกรู้ตัวทันจึงหนีเข้ากรุงเทพฯ
พระอุทัยราชาเกรงว่ามหาอำนาจชาติไทยจะไปปราบ จึงคลานกระดึบๆ ไปพึ่งญวน ไปทรงมุสากล่าวหาว่าพระยาสังคโลกเป็นกบฏ เจ้าญวนไม่รู้ความจริงก็ส่งทหารมาช่วย ครั้นความจริงปรากฏแท้แน่ชัดก็เลิกและยกทัพ กลับเวียดนาม
พระมหาอุปโยราชไม่พอพระทัยในการกระทำของเจ้าเขมร จึงพา ไพร่พลหนีมาตั้งอยู่ที่โพธิสัตว์ ทางกรุงเทพฯ รู้ข่าวก็ส่งเจ้าพระยายมราช ออกไปไกล่เกลี่ย แต่พระอุทัยราชาไม่ฟัง กลับหนีไทยไปอยู่ไซ่ง่อน เจ้าพระยา ยมราชจึงเผาเมืองพนมเปญ กะพงหลวง และบัณทายเพชร แล้วจึงเชิญเสด็จพระมหาอุปโยราชมากรุงเทพฯ
สมเด็จพระอุทัยราชากลับมาครองเมืองพนมเปญและยอมไปขึ้นกับญวน แถมตอนหลังยังยุญวนให้ยกทัพมาตีเมืองพระตะบองและเสียมราฐ แต่ไทยรู้ตัวก่อนจึงไล่ตีทัพญวนและเขมร ทหารเขมรกะญวนแตกทัพ วิ่งหนีทหารไทยไปยังกะหมูกะหมา
สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ไทยคือมหาอำนาจชาติอันดับหนึ่งใน “สุวรรณภูมิ”.
นิติภูมิ นวรัตน์
http://thairath.co.th/news.php?section=international01&content=102250

15 August 2008

ประวัติศาสตร์ไทย รัชกาลที่ 1

เขมร ญวน และพม่า ในสมัยรัชกาลที่ 1 [15 ส.ค. 51 - 19:55]

นิติ ภูมิได้รับคำแนะนำจากท่านผู้ใหญ่ให้ค่อยๆทยอยนำ ประวัติศาสตร์ไทยในส่วนที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับเพื่อนบ้านมารับใช้ ในคอลัมน์เปิดฟ้าส่องโลก เพื่อให้เยาวชนคนไทยได้รู้ประวัติศาสตร์ ชาติของตัวอย่างแท้จริง เบื้องแรก ท่านแนะนำว่ายังไม่ต้องย้อนประวัติศาสตร์ไปให้ไกลนัก ควรเริ่มตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช

กราบขอบพระคุณท่านที่กรุณาแนะนำ นิติภูมิมีความคิดเช่นนี้เหมือนกันครับ ขออนุญาตเริ่มต้นที่กรณีกัมพูชา ต้นรัชกาลที่ 1 เมื่อมีข่าวว่าจามจะยกทัพมาตีเขมร พระยายมราชและพระยากลาโหม (ปก) จึงพานักองเองและพระญาติพระวงศ์เขมรเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารรัชกาลที่ 1 ของไทย

สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงรับรองนักองเองอย่างพระราชบุตร บุญธรรม เมื่อไทยไปปราบจามได้แล้ว รัชกาลที่ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักองเองกลับไปครองเมืองเขมร ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี” และให้พระยาอภัยภูเบศรปกครองเมืองเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ โดยให้ขึ้นกับไทยโดยตรง

3 ปีต่อมา นักองเองทิวงคต จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยากลาโหมซึ่งเป็นฟ้าทะละหะเป็นผู้สำเร็จ ราชการ พอฟ้าทะละหะถึงแก่กรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นักองจันทร์เป็น “สมเด็จพระอุทัยราชา” ไปปกครองเมืองเขมรสืบไป

เหตุการณ์ตอนปลายรัชกาลที่ 35 แห่งกรุงศรีอยุธยา ไทยเสียกรุงแก่พม่าเพราะความเสื่อมเรื้อรังในสถาบันการเมืองและสังคม คนไทยทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างรุนแรง บางกลุ่มทั้งดื้อทั้งบ้า ความเสื่อมยังมาจากการที่ไทยไม่มีผู้นำเด็ดขาด ไพร่พลก็ค้นหาแต่ความสุขสนุกสบาย ไม่พร้อมรบ และร้ายที่สุดก็คือ เกิดไส้ศึกภายใน

ราชอาณาจักรไทยแตกเมื่อ พ.ศ.2310 ต่อมา ไทยเราก็เข้าสู่ยุคกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงปกครองบ้านเมืองอยู่นาน 15 ปี ไทยเราก็เข้ายุคกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ พ.ศ.2325

ณ เวลานั้น ไทยยิ่งใหญ่และเรืองอำนาจที่สุดใน “สุวรรณภูมิ”

ไม่ต้องให้ใครศาลโลกไหนมาตัดสินว่าเขมรใช่ของไทยหรือไม่ หากประวัติศาสตร์อย่างนี้แพร่ขยายกระจายออกไปเป็นหลายภาษา ประชาชนคนทั้งโลกก็จะเข้าใจความยิ่งใหญ่ของคนพันธุ์ไทยในสุวรรณภูมิได้เป็น อย่างดี

ความยิ่งใหญ่ของไทยในสมัยแรกเริ่มกรุงรัตนโกสินทร์กระจายไปไพศาล แม้แต่ญวนก็ยังต้องยอมรับ รัชสมัยรัชกาลที่ 1 ของไทย ในเมืองญวนเกิดกบฏไกเซิน เจ้าในราชวงศ์ญวนคือองเชียงสือจึงเข้ามาสวามิภักดิ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอด ฟ้าจุฬาโลก พระองค์ทรงชุบเลี้ยงเป็นอย่างดี

ต่อมาองเชียงสือขอกำลังไปไทยไปปราบกบฏ โชคดีที่ตอนนั้นมีกองกำลังญวนอาสาสมัคร และกองทัพฝรั่งเศสเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน พวกกบฏจึงแพ้ราบคาบ องเชียงสือเจ้าญวนที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงชุบเลี้ยงไว้ จึงได้ตั้งตนขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้ายาลอง พระองค์ทรงส่งเครื่องราชบรรณาการ มาถวายด้วยความระลึกในพระมหากรุณาธิคุณรัชกาลที่ 1 ตลอดรัชกาล

ส่วนพม่าที่เพิ่งชนะไทยไปเมื่อ 18 ปีก่อน ตอนหลังพระเจ้าปะดุง ได้สืบราชสมบัติ ก็ยกทัพอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรมาตีไทยถึง 7 ครั้งในสมัยรัชกาลที่ 1

มนุษย์พันธุ์ไทยในสมัยนั้นแข็งแกร่งและมีความสามัคคีสูง ถึงได้ชัยชนะในสงครามครั้งแรกที่พระเจ้าปะดุงจัดมาถึง 9 ทัพใหญ่ เจ้าพม่าพาทหารมามากมายก่ายกองถึงแสนสี่หมื่น ขณะที่ไทยเพิ่งเริ่มสร้างตัวและมีพลเมืองเพียงเจ็ดหมื่น

พ.ศ.2328 ไทยชนะพม่าในสงครามเก้าทัพ พม่าได้รับความอัปยศอดสู จึงเดินทางมาแก้ตัวใหม่ใน พ.ศ.2329 แต่ก็แพ้ไทยอีกที่ท่าดินแดง พ.ศ.2330 เรารบชนะพม่าที่ลำปางและป่าซาง และในปี เดียวกันนี้ ไทยยกทัพไปตีเมืองทวาย

3 ปีต่อมา เจ้าเมืองทวายขอสวามิภักดิ์ไทย พ.ศ.2340 กองทัพไทยตีพม่าแตกกระจายที่เชียงใหม่ และ พ.ศ.2345 พม่าแพ้ไทย ถูกไล่ออกจากเขตล้านนา

บัดนี้ กลาง พ.ศ.2551 การเมืองเรื่องยุ่งวุ่นวายของไทยได้สงบจบลง จึงเป็นโอกาสที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศจะได้มาร่วมชุมนุมสุมความคิด เพื่อรวมตัวช่วยกันสร้างราชอาณาจักรไทยให้ยิ่งใหญ่ เหมือนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช.

นิติภูมิ นวรัตน์


http://thairath.co.th/news.php?section=international01&content=100614