29 June 2008

ราฟาเอล เบนิเตซ

ราฟาหวังประกาศศักดา!พาหงส์ผงาดซิวแชมป์ลีก

ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือ ลิเวอร์พูล มั่นใจ "หงส์แดง" มีโอกาสคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ซีซั่นหน้า ชี้หากทำได้จริงจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาชีพของตัวเอง พร้อมยันดึงนักเตะที่เหมาะสมกับทีมเข้ามาเสริมทัพอีกแน่

ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ประกาศก้องว่า ขอพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลหน้า ให้จงได้ ซึ่งจะส่งผลให้เป็นการยุติการรอคอยที่ยาวนานถึง 18 ปี ของแฟนบอล "เดอะ ค็อป" และจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาชีพของตนเอง หลังจาก "หงส์แดง" ซิวแชมป์ลีกครั้งสุดท้ายในฤดูกาล 1989-90 สมัยที่ เคนนี่ ดัลกลิช คุมทัพ

กุนซือเลือดกระทิง กล่าวว่า "การคว้าแชมป์ลีกจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาชีพของผม มันยากกว่าในสเปน เพราะหลายๆ ทีมที่นี่ใช้เงินจำนวนมาก เราจะพยายามทำให้ดีที่สุด ปัจจัยสำคัญของผมคือ ไม่พูดถึงเรื่องแชมป์ แต่พูดถึงการทำงานให้ดี เราต้องเข้าไปให้ใกล้คู่แข่งเพื่อที่จะมีลุ้น ถ้าเราใกล้กับทีมนำมากขึ้น เราก็สามารถคว้าแชมป์ได้แน่นอน"
"คุณต้องทำงานของคุณพร้อมกับนักเตะหลังซีซั่นจบลง และในช่วงซัมเมอร์ คุณจำเป็นต้องทำงานกับทีมงาน ปัจจัยสำคัญคือ ซื้อนักเตะที่เหมาะสมกับทีม ทั้งเรื่องสภาพจิตใจที่ต้องมีความเป็นผู้ชนะอยู่ในตัว, ชอบการแข่งขัน และอยากมาที่นี่เพื่อคว้าแชมป์ให้ได้"
"นี่เป็นปัจจัยของผม เราวิเคราะห์หลายๆ อย่างในซัมเมอร์ ยกตัวอย่างเช่น เราเสียประตูมากมายจากลูกตั้งเตะ เราจำเป็นต้องรู้ว่าทำไม เพราะซีซั่นก่อนหน้า เราเสียแค่ 6 ประตู แต่ฤดูกาลที่ผ่านมาเราเสียถึง 16 ประตู เราต้องรู้ให้ได้ว่า เพราะเหตุใด เราจะต้องพัฒนาตรงจุดนี้ และทำให้ทีมยิงได้เรื่อยๆ เราจำเป็นต้องปรับปรุงอีกถ้าเราอยากเป็นทีมที่มีลุ้นแชมป์" นายใหญ่ถิ่น แอนฟิลด์ ทิ้งท้าย

from http://www.siamsport.co.th/25510629-002.html

ronaldo 9

โด้อ้วนโอดโดนมิลานทอดทิ้งหลังเจ็บหนัก

โรนัลโด้ ยอดดาวยิงดวงตกของ "ปีศาจแดง-ดำ" เอซี มิลาน ยังทำตัวมีปัญหาไม่เลิก ล่าสุดออกมาโอดครวญบ่นต้นสังกัด ที่ทอดทิ้งไม่เคยส่งข่าวคราวให้ได้ยิน ในระหว่างที่เขากำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่บ้านเกิด และยังมีอนาคตไม่แน่นอนว่าจะกลับไปลงเล่นในถิ่น ซาน ซิโร่ ต่อหรือไม่

โรนัลโด้ กองหน้าทีมชาติบราซิลของเอซี มิลาน สโมสรดังแห่งศึกกัลโช่ เซเรีย อา ออกมาแสดงความผิดหวังที่ต้นสังกัดไม่ยอมพูดถึงเรื่องอนาคตในการค้าแข้งอย่างจริงจัง นับตั้งแต่เขาได้รับบาดเจ็บเอ็นหัวเข่าฉีกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

อนาคตของอดีตหัวหอกเรอัล มาดริด ในถิ่น ซาน ซิโร่ ไม่สดใส หลังจากมิลานจะรอจนกว่าเขาหายกลับมาลงสนามอย่างสมบูรณ์เท่านั้น ทำให้มีข่าวลือว่า โรนัลโด้ อาจจะย้ายกลับมาค้าแข้งในบ้านเกิด หรือไปเล่นในอังกฤษ โดยมี ควีนสพาร์ค เรนเจอร์ส ในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ ทีมเศรษฐีใหม่ ที่เพิ่งรวยจากการเปลี่ยนผู้บริหารสโมสร และต้องการขึ้นไปเล่นในพรีเมียร์ลีกให้เร็วที่สุด ให้ความสนใจ
" มิลานไม่เคยให้คำสัญญาใดๆกับผม ผมได้ยินข่าวจากเพียง เลโอนาร์โด้ (ที่ปรึกษาของอาเดรียโน่ กัลเลียนี่ รองประธานสโมสร) เท่านั้น ผมอยากได้ยินอะไรจากสโมสรมากกว่านี้ซักหน่อยก็ยังดี " อดีตดาวยิงหมายเลขหนึ่งของโลกเผยกับ สตาดิโอ นิวส์
from http://www.siamsport.co.th/25510629-042.html

23 June 2008

เหยินใหญ่ยันกลับมาวิ่งในอีก2-3วีก

โรนัลโด้ ดาวยิง เอซี มิลาน เผยข่าวดี บอกอีก 2-3 สัปดาห์ได้เห็นเขากลับมาวิ่งอีกครั้งหนึ่งแน่ พร้อมตั้งเป้าเรียกฟิตกลับมาลงเตะฟุตบอลอีกครั้งโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลบคำสบประมาทของหมอที่ฟันธงฉับว่า อาการบาดเจ็บที่หัวเข่าของเขา ต้องใช้เวลาเยียวยาอย่างน้อย 9 เดือนด้วยกัน

โรนัลโด้ กองหน้าตัวเก่ง เอซี มิลาน ยักษ์ใหญ่แห่งศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ออกมากล่าว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมาว่า การฟื้นฟูอาการบาดเจ็บที่บริเวณหัวเข่ากำลังผ่านพ้นไปด้วยดี และคาดว่า น่าจะกลับมาวิ่งได้อีกครั้งในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้านี้

ดาวเตะวัย 31 กะรัต ซึ่งหวังจะลบคำสบประมาทของแพทย์ผู้ผ่าตัด ที่ยืนยันว่า อาการบาดเจ็บดังกล่าว จะต้องใช้เวลาพักรักษาตัว 9 เดือนเป็นอย่างน้อยนั้น กล่าวว่า "หัวเข่ากำลังดีวันดีคืน เวลานี้เราเริ่มทำงานในเรื่องการฟื้นฟูสภาพกล้ามเนื้อ ผมจะเริ่มวิ่งได้อีกครั้งในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้านี้ ผมมองโลกในแง่ดี ผมอาจจะกลับมาได้ก่อนกำหนด ถึงแม้ว่ามันจะเร็วเกินไปที่จะพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำก็ตาม แต่กระนั้น ผมยังต้องการลงเล่นต่อไป
ส่วนเรื่องที่จะหมดสัญญาค้าแข้งกับ มิลาน ในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ หัวหอกชาวบราซิเลียน กล่าวว่า "ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดอะไรดี (เกี่ยวกับเรื่องสัญญา) มิลาน ไม่เคยให้คำสัญญาใดๆ กับผมเลย ผมได้พูดคุยกับ เลโอนาร์โด้ (ผู้อำนวยการกีฬาสโมสร มิลาน) เป็นบางโอกาส แต่ผมอยากจะได้รับสัญญาจากทีมอีก มันยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องราวต่างๆ"
from http://www.siamsport.co.th/25510623-003.html

ตอร์เรสหน้าบานกระทิงลิ่วตัดเชือกยูโร 2008




เฟร์นานโด ตอร์เรส หัวหอกทีมชาติสเปน ออกอาการหน้าบานเป็นจานเชิง หลังเห็นพลพรรค "กระทิงดุ" ลิ่วเข้าสู่รอบตัดเชือก "ยูโร 2008" ได้สำเร็จ ด้วยการดวลเป้าชี้ขาดชนะ อิตาลี อย่างยิ่งใหญ่ แต่ไม่วายบ่นอุบเสียดายเล็กน้อยที่ไม่มีส่วนร่วมกับการยิงลูกโทษ

เฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้าทีมชาติสเปน แสดงความรู้สึกยินดีสุดๆ หลังจากที่ทัพ "กระทิงดุ" ดวลจุดโทษเอาชนะ อิตาลี 4-2 ภายหลังเสมอกัน 0-0 ในเวลา 120 นาทีของเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป "ยูโร 2008" ณ สนาม แอร์นส์ท ฮัปเปิล สตาดิโอน กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ทีมทะลุเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ
ตอร์เรส กล่าวผ่าน "มาร์ก้า" หนังสือพิมพ์กีฬาแดนกระทิงดุ ว่า "ผมรู้สึกสนุกสนานจริงๆ กับชัยชนะครั้งนี้ ผมคิดว่าพวกเราทุกคนควรจะมองย้อนหลังไปถึงช่วงเวลาที่ยากลำบาก เพื่อที่จะรับรู้ความสำคัญของเหตุการณ์ครั้งนี้ นี่ถือเป็นช่วงเวลาที่สวยสดงดงามสุดๆ ที่ผมเคยประสบพบเจอร่วมกับทีมชาติสเปนเลยทีเดียว สำหรับการดวลจุดโทษ? ผมมั่นใจในตัวของ อีเคร์ (กาซิยาส) อยู่แล้ว นอกจากนี้ เรายังซักซ้อมการยิงลูกโทษมาแล้วระหว่างการฝึกซ้อมเมื่อวานนี้ และมันก็ดูเหมือนจะได้ผลดีอย่างไม่ต้องสงสัย"
อย่างไรก็ตาม ยอดดาวยิงจากสโมสร ลิเวอร์พูล ยอมรับว่ารู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในช่วงเวลาดวลเป้าชี้ขาด เนื่องจากถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามไปแล้ว โดยระบุว่า "ผมอยากจะได้รับโอกาสยิงดวลเป้าในครั้งนี้ เพราะผมต้องการให้ความสนับสนุนเพื่อทีมอยู่เสมอ ส่วน รัสเซีย (คู่แข่งในรอบรองชนะเลิศ) น่ะหรือ? พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วกับการลงเล่นในเกมระดับสูง และพวกเขาก็จะเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน"
from http://www.siamsport.co.th/25510623-049.html

ถึงเวลา'บิล เกสต์'ล้างมือในอ่างทองคำ






การถ่ายโอนภารกิจบริหารงานรายวันของเขา จึงไม่ต่างอะไรจากการล้างมือในอ่างทองคำ ที่หลายคนต้องยอมรับว่าเป็นการแขวนบทบาทตัวเองอย่างงดงาม หลังจากคนชื่อ'บิล เกสต์'ได้บรรลุแล้วซึ่งความสำเร็จที่เขาสร้างขึ้นมา

แล้วก็ถึงเวลาสำหรับราชาอย่าง'บิล เกสต์'เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ ที่จะก้าวลงจากบัลลังก์ ด้วยการหันหลังให้แก่การบริหารกิจการของบริษัทระดับมหาอำนาจของอุตสาหกรรมไอที ที่เขาได้ปลุกปั้นขึ้นมาด้วยตัวมือเองเป็นเวลากว่า 30 ปี ท่ามกลางความใจหายของใครหลายคนที่จะต้องยอมรับว่าชื่อของบิล เกสต์ จะกลายเป็นอดีตไปเรื่อย ๆ สำหรับไมโครซอฟท์ แต่นี่คือการยุติบทบาทที่เคยทรงอิทธิพล สำหรับผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกคนหนึ่ง ที่ต้องการหันหลังให้แก่กิจการของตัวเอง เมื่อถึงคราวต้อง'พักผ่อน' ด้านหนึ่งเพื่อเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ได้ก้าวขึ้นมา'ใหญ่'ตามธรรมชาติของการทำงาน และไขก๊อกตัวเองเพื่ออุทิศตัวให้กับอีกสิ่งที่เขารัก

ชะตาการหันหลังของบิล เกสต์ เป็นที่รับรู้ของสังคมโลกมาแล้วก่อนหน้านี้ หลังจากที่เขาได้ประกาศว่าจะวางมือจากไมโครซอฟท์ เพื่อหันไปใช้เวลากับกองทุนบิล และเมลินดา เกสต์ กับกิจกรรมช่วยเหลือชาวโลกที่เขารัก ที่เขาได้ทุ่มเทแรงกายและแรงใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยที่ผ่านมา นอกเหนือจากความเป็นสุดยอดผู้บริหารในการสร้างไมโครซอฟท์ในกลายเป็นยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมซอฟท์แวร์แล้ว ตัวตนอีกด้านของบิล เกสต์ ยังเป็นที่รู้จักดีในฐานะมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ที่ติดอันดับนักบริจาคสูงสุดของโลก และเป็นภาพลักษณ์ที่สร้างเสียงสรรเสริญชื่นชมจากชาวโลก ไม่แพ้ในฐานะผู้บริหารของไมโครซอฟท์

เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ได้ออกแถลงการณ์ประกาศการวางมือจากไมโครซอฟท์ของบิล เกสต์ โดยเกสต์จะเริ่มวางมือจากภารกิจที่เหลืออยู่ คือการบริหารงานแบบวันต่อวัน ภายในระยะเวลา 2 ปี ก่อนจะไขก๊อกตัวเองจากภารกิจบริหารงานไมโครซอฟท์อย่างถาวร มีชื่อที่เป็นเพียงประธานบริษัท และที่ปรึกษาโครงการพัฒนาสำคัญ ๆ ของบริษัท ที่ไม่ได้มีเวลาส่วนใหญ่สำหรับไมโครซอฟท์อีกต่อไป โดยเขาจะทำหน้าที่เป็น'พี่เลี้ยง'ช่วยเหลือการถ่ายโอนภารกิจบริหารงานแบบวันต่อวัน ให้แก่สองผู้บริหารใหม่ของไมโครซอฟท์ คือ นายเรย์ ออซซี่ เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงฝ่ายเทคนิก ซึ่งจะถูกแต่งตั้งดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายออกแบบซอฟท์แวร์ ซึ่งเป็นงานหัวใจหลักของไมโครซอฟท์ และนายเครก มุนดี ซีอีโอฝ่ายเทคนิกอีกคน ซึ่งจะดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิจัยและวางแผนยุทธศาสตร์ของบริษัท

ในวันออกแถลงการณ์ บิล เกสต์ กล่าวว่า ปัจจุบันไมโครซอฟท์อยู่ในสถานะที่จะประสบความสำเร็จได้อีกในอนาคตข้างหน้า โดยในช่วงปีนี้ เขาจะยังคงมีพันธะผูกพันกับไมโครซอฟท์อย่างเต็มที่ หลังแถลงการณ์ของเดือนมิ.ย.และจะทำงานอย่างเต็มที่กับเรย์และเกร็ก เพื่อรับประกันว่า การถ่ายโอนภารกิจบริหารงานรายวันของเขาจะเป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมทั้งชื่นชมนายเรย์และนายเกร็กว่าเป็นผู้นำด้านงานเทคนิกที่เยี่ยมยอด ซึ่งถือเป็นโชคดีของไมโครซอฟท์

ขณะที่นายสตีฟ บอลเม่อร์ ผู้บริหารสูงสุดของไมโครซอฟท์ บอกว่า เขาและเกสต์ ต่างเชื่อมั่นว่า ไมโครซอฟท์ มีทีมที่ยอดเยี่ยมที่สามารถจะก้าวไปเพื่อย่ำตามรอยเท้าของเกสต์ และผลักดันนวัตกรรมของไมโครซอฟท์ไปข้างหน้าโดยไม่สะดุดช่องว่าง และว่าไมโครซอฟท์จะยังคงจ้าง'บุคคลระดับพรสวรรค์'ด้านเทคนิกที่เก่งที่สุดของโลก เพื่อมาร่วมงานกับบริษัท และไมโครซอฟท์ จะยังคงจัดการกับปัญหาท้าทายใหญ่ ๅๆ และสร้างโอกาสให้แก่ผู้บริโภคจากการลงทุนไปกับโมโครซอฟท์ในระยะยาว นอกจากนี้ ซีอีโอรายนี้ยังบอกว่า ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ ได้ขยายความเป็นผู้นำด้านไอทีระดับสูงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

สำหรับบิล เกสต์ เขาได้ปลุกปั้นไมโครซอฟท์ให้กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านไอทีด้วยความสามารถล้วน ๆ ด้วยการจัดตั้งบริษัทแห่งนี้ร่วมกับพอล อัลเลน เพื่อนซี้ของเขา โดยไมโครซอฟท์ก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี 1975 และได้บุกเบิกการสร้างนวัตกรรมด้านซอฟท์แวร์ต่าง ๆ ที่ได้ช่วยแผ่วทางการปฎิวัติสังคมโลกเข้าสู่ยุคข้อมูลข่าวสารดิจิตอล!

มรดกที่บิล เกสต์ และอัลเลน ได้สร้างให้แก่ไมโครซอฟท์ มีตั้งแต่การสร้างระบบปฎิบัติการของไมโครซอฟท์ ,โปรแกรมไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ,โปรแกรมวินโดวส์ ซอฟท์แวร์เหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลอย่างสูงต่อสังคมโลก ในฐานะเส้นทางบุกเบิกโลกเข้าสู่ยุคคอมพิวเตอร์อย่างเต็มตัวและกว้างใหญ่ เปลี่ยนวิถีการทำงานใหม่ของผู้คนทั่วโลก วิถีใหม่ของการสื่อสารและความบันเทิง ในรูปแบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ขณะที่ตัวไมโครซอฟท์ได้ผงาดกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการไอที มีพนักงานทั่วโลกกว่า 63,000 คน ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เคลื่อนที่ให้เติบโตร่วมกัน โดยมียอดขายกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม สำหรับบิล เกสต์ ยึดถือคติว่าคนเราต้องรู้จักพอ และหันไปทำในสิ่งตัวเองรัก หลังจากเขาได้ผงาดนั่งตำแหน่งประธานบริษัทและผู้บริหารระดับสูงของบริษัท จนกระทั่งถึงปี 2000 ซึ่งนายบอลเม่อร์ ได้เข้ามารับตำแหน่งซีอีโอแทน บิล เกสต์ ได้เริ่มชีวิตการเป็นมหาเศรษฐีผู้ช่วยเหลือชาวโลกผู้ยากจน ซึ่งเป็นงานที่เขายอมรับว่าสร้างความสุขอย่างมหาศาลให้แก่ตัวเองและภรรยา โดยเขาได้จัดตั้งมูลนิธิบิล และ เมลินดา เกสต์ ภรรยา ด้วยวงเงินมูลค่ากว่า 29,100 ล้านดอลลาร์ ช่วยเหลือผู้ยากไร้ทั่วโลกในภารกิจด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ป่วยเอดส์ มาลาเรีย และโรคอื่น ๆ ในประเทศด้อยพัฒนา และการบริจาคเงินให้แก่กองทุนต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยทั่วโลก

การถ่ายโอนภารกิจบริหารงานรายวันของเขา จึงไม่ต่างอะไรจากการล้างมือในอ่างทองคำ ที่หลายคนต้องยอมรับว่าเป็นการแขวนบทบาทตัวเองอย่างงดงาม หลังจากคนชื่อ'บิล เกสต์'ได้บรรลุแล้วซึ่งความสำเร็จที่เขาสร้างขึ้นมา


from http://matichon.co.th/news_detail.php?id=37375&catid=6

21 June 2008

โรนัลโด้






ก่อนหน้าการแข่งขัน "ยูโร 2008" จะเปิดฉาก วงการลูกหนังโลกต่างตั้งตารอชมผลงานของทีมชาติ "โปรตุเกส" ซึ่งมี "คริสเตียโน่ โรนัลโด้" ผู้ได้รับการยกย่องเป็น "นักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก" ณ เวลาปัจจุบัน สังกัดอยู่

โปรตุเกสเปิดฉากรอบแรกได้อย่างร้อนแรง ด้วยฟอร์มการเล่นอันเฉียบคม และความสามารถเฉพาะตัวหลากหลายของผู้เล่นในทีม ซึ่งมีปีกจาก "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเกม และเห็นเด่นชัดมากขึ้นทุกที

ฟอร์มเด่นของโปรตุเกสทำให้เกจิลูกหนังยกพวกเขาเป็น "เต็ง 3" หลังจบรอบแรก แม้กระทั่ง ""ไกเซอร์" ฟร้านซ์ เบ๊คเคนบาวร์" ตำนานฟุตบอลแห่งเมืองเบียร์ ยังออกตัวว่าทีมอินทรีเหล็กคงไม่อาจผ่าน "โรนัลโด้และพวก" ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปได้

...ที่สุดแล้ว เส้นทางของทีมชาติโปรตุเกสกลับสิ้นสุดลงเร็วกว่าที่หลายคนคิด ด้วยความปราชัยต่อเยอรมนี 2-3 โดยที่โรนัลโด้มีบทบาทในเกมค่อนข้างน้อย นำไปสู่ปฏิกิริยาในเชิงลบของแฟนบอลหลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวกลูกหนังพรีเมียร์ชิพ ที่ต่างออกมาถามว่าความเป็น "ที่สุดในโลก" ตามที่ใครให้เครดิตเขาไปก่อนหน้านี้

ด้านแฟนบอลปีศาจแดงก็เริ่มถกกันเครียดเรื่องอนาคตของโรนัลโด้ โดยส่วนมากแน่นอนว่าอยากให้เขาอยู่ต่อ ก่อนจะห้อยท้ายว่า "ถึงแม้ว่าโดยส่วนตัวผมจะไม่ค่อยชอบเขานักก็ตาม"

...อันที่จริงก่อนหน้าทัวร์นาเมนต์นี้จะเปิดฉาก เคยมีคนทำนายเอาไว้แล้วว่า โรนัลโด้น่ะเก่งจริง แต่คงยังไม่ถึงฝั่งฝันอย่างแน่นอน เพราะยังมีองค์ประกอบบางอย่างขัดแย้งกันอยู่

"ความขัดแย้ง" ที่ว่า มีตัวอย่างให้เห็นชัดย้อนไปเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ในรอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก ระหว่างแมนฯยู กับ "เชลซี" ซึ่งกินเวลากว่า 3 ชั่วโมง ก่อนจบลงด้วยชัยชนะของปีศาจแดงในการดวลจุดโทษ

วันนั้น ในช่วงการแข่งขันปกติ โรนัลโด้เล่นเป็น "พระเอก" ของงาน เป็นคนทำประตูเดียวให้แมนฯยู และโชว์ลีลากับทักษะเหนือชั้นเป็นกำลังสำคัญของทีม แต่แล้วเมื่อถึงช่วงดวลจุดโทษตัดสิน โรนัลโด้เดินไปยังจุดวางลูก จูบบอล ก่อนจะถอยหลังไป พยายามจะทำท่าหลอกนายทวารฝั่งตรงข้าม ก่อนจะยิงลูกไปเข้าทาง "ปีเตอร์ เช็ก" แบบเหนือความคาดหมาย

...เป็นการยิงลูกโทษที่เกจิบอกว่าคงใช้คำจำกัดความว่า "ดี" ไม่ได้ หากแต่เป็น "น่าอาย" และ "ยโสโอหัง" เสียมากกว่า!

โรนัลโด้เดินกลับไปยังแถวนักเตะแมนฯยูโดยไม่มีเพื่อนร่วมทีมสักคนปลอบหรือแสดงความเห็นใจ และเมื่อชัยชนะเป็นของปีศาจแดง เขากลับทรุดตัวลงไปตรงวงกลมกลางสนาม นอนคว่ำหน้ากับหญ้าราวกับกำลังนอนร้องไห้ และนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นราว 2 นาที ขณะที่เพื่อนนักเตะแมนฯยูวิ่งไปฉลองชัยกับแฟนบอล...โดยไม่มีใครสนใจปีกชาวโปรตุกีสแม้แต่คนเดียว!

"สปีเกล" นิตยสารออนไลน์ของเยอรมนี เปรียบเทียบว่า แฟนบอลจะรักคนอย่าง "จอห์น เทอร์รี่" กัปตันทีมเชลซีที่ก้มหน้าร้องไห้กับไหล่ของเพื่อนห่างจากจุดที่โรนัลโด้นอนอยู่ไม่กี่เมตรกว่ามาก

เพราะตัวตนของเทอร์รี่ ความแข็งแกร่งและตรงไปตรงมาซึ่งสะท้อนผ่านสไตล์การเล่นของเขา ความทุ่มเทให้กับทีมแบบเกินร้อย ความเป็นศูนย์รวมใจของเพื่อนนักเตะหรือแม้กระทั่งแฟนบอล ทำให้การพลาดลูกจุดโทษของกองหลังทีมชาติอังกฤษดูมีอารมณ์ร่วมและน่าเห็นใจกว่าของโรนัลโด้มากนัก

หลังจบเกม ขณะที่นักข่าวพยายามถามถึงลูกโทษลูกนั้น โรนัลโด้ก็ตัดบทว่า "ทำไมพวกคุณถึงยังสนใจมันอยู่อีก ผมได้แชมป์แล้ว เหรียญรางวัลก็ห้อยคออยู่นี่ ผมยิงลูกโทษพลาดก็จริง แต่ก็ทำประตูในเกมได้นี่ ผมไม่ได้ทำได้ทุกอย่างนะครับ!"

...บ้างมองว่าบุคลิกและนิสัยส่วนตัวของโรนัลโด้นั้น หล่อหลอมขึ้นมาจากประสบการณ์ในวัยเด็กของเขา โรนัลโด้เติบโตขึ้นที่เมืองซานโต อันโตเนีย ย่านคนจนของโปรตุเกส เด็กชายคริสเตียโน่เป็นคนไม่ยอมคน ถ้าเขารู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ ก็พร้อมจะซัดกับเด็กคนอื่นอย่างไม่ลังเล แม้กระทั่งขว้างเก้าอี้ใส่ครูก็เคยทำมาแล้ว

เขาย้ายออกจากเมืองตอนอายุ 12 เพื่อเข้าสถาบันสอนฟุตบอลของ "สปอร์ติ้ง ลิสบอน" ก่อนจะสัมผัสกับเกมลูกหนังอาชีพครั้งแรกตอนอายุ 17

ทุกวันนี้ โรนัลโด้มีชีวิตที่แตกต่างจากสมัยเด็กๆ อย่างสิ้นเชิง เขาก็เป็นเช่นเดียวกับเพื่อนนักเตะดังในอังกฤษที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หรูที่มีทั้งสระว่ายน้ำและโรงหนังขนาดย่อมอยู่ในตัว

สตาร์ดังชาวโปรตุกีสซื้อบ้านกึ่งทาวเฮาส์หลังหนึ่งให้ "มาเรีย" แม่ของเขาพักในเกาะมาไดร่า ย่านเดิมที่เคยอยู่สมัยเด็กๆ และในรอบชิงแชมเปี้ยนส์ลีก ก็ออกเงินซื้อตั๋วให้แม่บินไปชมการแข่งขันถึงมอสโกด้วย อย่างไรก็ตาม โรนัลโด้ไม่ได้กลับไปเยี่ยมแม่ที่โปรตุเกสเป็นเวลา 2 ปีแล้ว

ทุกวันนี้ มาเรียจะนั่งในห้องนั่งเล่น ท่ามกลางตู้โชว์ถ้วยรางวัลของลูกชาย บนตักคือหนังสือพิมพ์แทบลอยด์เมืองผู้ดีมากมาย แม้ว่าเธอจะไม่รู้ภาษาอังกฤษก็ตาม มาเรียแก้ต่างเรื่องบุคลิกลูกชายอย่างเข้าใจว่า "คริสเตียโน่ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีกับใคร เขาแค่เป็นของเขาอย่างนั้นเอง"

ส่วนสาเหตุที่เธอรวบรวมหนังสือพิมพ์มามากมายทั้งที่อ่านไม่รู้เรื่องนั้น มาเรียตอบว่า...

"ฉันพยายามดูทุกอย่างที่เกี่ยวกับคริสเตียโน่ ...เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกใกล้ชิดกับเขามากขึ้นน่ะค่ะ..."
ที่มา http://matichon.co.th/news_detail.php?id=37082&catid=134&catid=7

11 June 2008

เหลียงเฉาเหว่ย





สองคู่รักคนดังฮ่องกง เหลียงเฉาเหว่ย-หลิวเจียหลิง เตรียมเข้าพิพิธีวิาห์แล้ว เผยทุ่มเงินกว่า 1.8 ล้านดอลลาร์จัดงานแต่งสุดหรูอลังการ-ฮันนีมูนสุดสวีท ด้านสื่อเชื่อได้ฤกษ์แต่ง หลังฝ่ายหญิงท้อง

'สเตรท ไทมส์'รายงานเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ว่า เหลียงเฉาเหว่ย และหลิวเจียหลิง หรือโทนี่ เหลียง วัย 46 ปี และคารินา หลิว วัย 43 ปี ได้เตรียมจะจัดแต่งงานร่วมกันแล้ว คาดว่าจะมีขึ้นในเดือนต.ค. โดยพิธีวิวาห์ดังกล่าวจะมีขึ้นที่โรงแรม Four Season ใช้งบประมาณราว 1.8 ล้านดอลลาร์ ประกอบด้วยการจัดโต๊ะดินเน่อร์ 38 โต๊ะ โต๊ะปาร์ตี้ไวน์อีก 38 โต๊ะ ค่าเช่าห้องสูทโรงแรมหรูเพื่อฉลองดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ 1 สัปดาห์ จำนวน 50,000 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อคืน ค่าสินสอดแต่งงาน เป็นแหวนเพชรมูลค่า 2 ล้านฮ่องกง และค่าใช้จ่ายสำหรับการทั่วร์ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ยุโรป อีก 2 แสนดอลลาร์ ทั้งนี้ พิธีวิวาห์ยังนี้มีขึ้นท่ามกลางกระแสร่ำลือของสื่อมวลชนฮ่องกงว่า หลิวเจียหลิงได้ตั้งครรภ์แล้ว เป็นเวลา 4 เดือน

รายงานระบุว่า สองคู่รักคนดังฮ่องกง ได้ใช้ชีวิตอยู่กินร่วมกันมาตั้งแต่ปี 1989 แต่เมื่อปีที่แล้ว หลิวเจียหลิงตกเป็นข่าวว่าถูกมหาเศรษฐีฮ่องกงตามตื้อ อย่างไรก็ตาม ต่อมาทั้งสองได้ออกมาเปิดเผย ทั้งคู่ได้จดทะเบียนสมรสอยู่กินกันเมื่อปีที่แล้ว หลังจากหลิวเจียหลิงคว้ารางวัลประกวดภาพยนตร์ของจีน และเมื่อเดือนเม.ย.หลิวเจียหลิงยังได้โชว์แหวนแต่งงานของเหลียงเฉาเหว่ย ระหว่างเข้าร่วมเทศกาลประกวดภาพยนตร์เมืองคานส์ของฝรั่งเศสด้วย

สำหรับเหลียงเฉาเหว่ย และหลิวเจียหลิง ถูกมองว่าเป็นคู่รักยืนยงอมตะของวงการภาพยนตร์ฮ่องกง ว่ากันว่าทั้งคู่เคยเผชิญช่วงเวลาที่เลวร้ายร่วมกันมา โดยเมื่อหลายปีก่อน หลิวเจียหลิวได้ตกเป็นข่าวถูกกลุ่มมาเฟียจับตัวไป ในสภาพร่างเปลือยขณะนั่งในรถพร้อมกลุ่มมาเฟีย และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ยังมีข่าวลือว่า เธอเป็นหนึ่งในดาราที่อยู่ในภาพเปลือยของเฉินกวนซีด้วย

จาก http://matichon.co.th/news_detail.php?id=35465&catid=8

10 June 2008

แหล่งเรียนรู้การทำงานของสิ่งต่าง ๆ

มันเป็นเว็บภาษาอังกฤษ แต่มีรูปและภาพเคลื่อนไหวให้เราได้ศึกษาดูได้
ที่นี้ http://www.howstuffworks.com/

09 June 2008

สุภาษิต



เป็นเว็บที่แสดงสุภาษิตไทย โดยมีรูปประกอบด้วย ที่ http://www.choosuwan.com/supasid/supasid.html

03 June 2008

Constitution

รัฐธรรมนูญที่ศักดิ์สิทธิ์ [3 มิ.ย. 51 - 19:15]

เมื่อวาน นิติภูมิรับใช้ถึงว่า แรกเริ่มเดิมทีนั้น รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกามีเพียง 7 มาตรา ผู้ร่างรู้ว่า อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน จึงร่างไว้สั้นๆ และกระชับ เพื่อให้มีการตีความกันอย่าง กว้างขวางต่อไปในภายภาคหน้า

คนอเมริกันไม่เคยล้มรัฐธรรมนูญของตัวเอง แต่ยุคสมัยไหน เมื่อคิดว่าสิ่งใดในรัฐธรรมนูญ ของตัวล้าสมัย ก็ยอมให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้

อย่างเมื่อ พ.ศ.2334 ก็มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 1 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบัญญัต ิว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง หรือ Bill of Rights

บทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 1 เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพทางศาสนาและการเมือง มีข้อความว่า

รัฐสภาจะตรากฎหมายสถาปนาศาสนาไม่ได้ หรือจะตรากฎหมายห้ามการปฏิบัติศาสนกิจก็ไม่ได้ หรือจะลิดรอนเสรีภาพในการพูด การตีพิมพ์ หรือการชุมนุมกันโดยสงบ และการร้องทุกข์ ต่อรัฐบาลเพื่อขจัดความทุกข์ร้อนของประชาชนไม่ได้

ผู้อ่านท่านครับ บทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 1 ประกันเสรีภาพ 4 อย่างของประชาชน คนอเมริกัน ทั้งเสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพในการพูดและการพิมพ์ เสรีภาพในการ ชุมนุมกันอย่างสงบ และ เสรีภาพในการยื่นเรื่องราวร้องทุกข์

ในอเมริกานี่ เข้มเรื่องการแยกศาสนาออกจากการเมืองมาก จะเอาไปยุ่งไปปนกันไม่ได้ แถมยังห้ามมีการสถาปนาศาสนาประจำชาติอย่างเด็ดขาด หลายประเทศในโลกนี้ตะโกน ก้องร้องบอกคนทั่วโลกว่า ตัวเองเป็นรัฐอิสลาม แต่ในสหรัฐฯไม่มีการกำหนดอย่างนี้ รัฐธรรมนูญสั่งให้ยอมรับ ความเชื่อของทุกศาสนาและทุกนิกาย

ในสหรัฐอเมริกามีศาสนาคริสต์อยู่นิกายหนึ่งครับ ชื่อว่านิกาย เยโฮวาส์วิตเนสส์ คนที่นับถือศาสนานี้มีความเชื่อว่า เคารพธงชาติไม่ได้ ลูกหลานที่ไปโรงเรียน ก็ห้าม ไปยืนเคารพธงชาติเด็ดขาด พวกครูไม่พอใจก็ไล่เด็กพวกนี้ออกจากโรงเรียน ไป ไหนมาไหน คนคริสต์นิกายนี้ก็จะถูกอเมริกันชนคนพวกอื่นโจมตีบ้าง โดนทำร้าย บ้างโดนผู้คนก่นด่าด้วยข้อหาว่าไม่รักชาติ ภายหลังจึงมีการฟ้องร้อง คณะกรรมการ การศึกษาแห่งรัฐเวสต์เวอร์จิเนียที่ไป ไล่เด็กในศาสนาและนิกายนี้ออกจากโรงเรียน

ศาลฎีกาสหรัฐฯตัดสินคดีระหว่างคณะกรรมการศึกษาฯกับบาร์เนตต์ เมื่อ พ.ศ.2486 ให้พวกที่ไม่เคารพธงชาติชนะ ศาลรับความเชื่อพวกเยโฮ วาส์วิตเนสส์

บางคนไม่เชื่อพระผู้เป็นเจ้า แต่เมื่อไปโรงเรียนก็ถูกบังคับให้ร่วมพิธีสวดสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พ่อแม่ผู้ปกครองรู้ข่าวเข้าก็เอาไปฟ้องศาล สู้กันจนถึงศาลฎีกา

เมื่อ พ.ศ.2505 ศาลฎีกาสหรัฐอเมริกาพิพากษาคดีระหว่างเองเจิล

กับวิเทิล และมีคำสั่งให้เลิกสวดสรรเสริญพระเจ้าในโรงเรียนของรัฐบาลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ความขัดแย้งเรื่องศาสนาในสหรัฐอเมริกามีมากมายหลายร้อยนับพันคดี ศาลก็ตัดสินโดย เอาบทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 1 พ.ศ.2334 มาใช้ทุกครั้ง รัฐธรรมนูญของ สหรัฐอเมริกาศักดิ์สิทธิ์มาก กฎหมายอะไรก็ไปขัดแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญซึ่ง เป็นกฎหมายสูงสุดของชาติไม่ได้ ต้องแพ้หมด

บางนิกายในอเมริกานะครับ คนในนิกายของศาสนานี้มีความเชื่อว่า การฆ่าสัตว์ ตัดชีวิตเป็นบาป เมื่อรัฐบาลอเมริกันมีสงคราม และรัฐต้อง เกณฑ์ทหารเอา คนหนุ่มไปรบ คนหนุ่มในศาสนาที่ว่านี่ ไม่ยอม ชุมนุมสุมหัวกันคัดค้าน โดยอ้าง มโนธรรม อ้างความเชื่อในศาสนาตัวเอง ศาลก็ยอมนะครับ พวกนี้ก็ได้รับการ ยกเว้นให้ไม่ต้องรบ ซึ่งอาจจะต้องฆ่าทหารฝ่ายศัตรู แต่ถูกจัดให้ไปอยู่ในฝ่าย เสนารักษ์ มีหน้าที่ช่วยชีวิตคน

ผู้อ่านท่านจำนักมวยอเมริกันคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นอดีตแชมเปียนโลกที่มีชื่อว่านายมุฮัมมัด อาลี ได้ไหมครับ สมัยที่นายอาลีกำลังดังนั้น สหรัฐ อเมริกาก็กำลังมีสงครามกับเวียดนาม และต้องเกณฑ์คนไปเป็นทหารจำนวนมาก

อาลีไม่ยอมรับการเกณฑ์ทหาร โดยอ้างว่าตัวเองเป็นสมาชิกองค์กร ศาสนาอิสลาม ที่เรียกว่าแบล็กมุสลิม

อาลีจึงโดนรัฐบาลอเมริกันจับและฟ้องศาล ศาลชั้นต้นตัดสินให้อาลี จำคุก 5 ปี จำเลยอา ลีก็จ้างทนายต่อสู้ไปทุกศาล

กระทั่ง พ.ศ.2514 ศาลฎีกาพิพากษาโดยยึดหลักของบทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 1 กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกเว้นอาลีจากการเป็นทหารอาลีจึงรอดคุก.

นิติภูมิ นวรัตน์ (ปเิดฟ้าส่องโลก นสพ.ไทยรัฐ)