29 August 2008

รัชกาลที่2

ญวน พม่า และเขมรในสมัยรัชกาลที่ 2 ของไทย [29 ส.ค. 51 - 18:59]
สัปดาห์ก่อน นิติภูมิรับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพถึงเขมร ลาว ญวน พม่า ฯลฯ ประเทศรอบบ้านของไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี วันนี้ขออนุญาตรับใช้เรื่องราวของประเทศเพื่อนบ้านในสมัยรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งสมัยพระองค์ดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร พระองค์ทรงร่วมทำสงครามกับสมเด็จพระบรมชนกนาถหลายต่อหลายครั้ง
ดินแดนไทยที่ไม่มีพวกนุ่งโสร่งเป็นเจ้านายในปัจจุบันทุกวันนี้นั้น เป็น เพราะเรามีเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์กล้าเสด็จกรีธาทัพไปราชการสงครามต่อสู้กับ พวกต่างชาติอยู่เป็นนิตย์ ไทยจึงเป็นชาติยิ่งใหญ่ในสมัยต้นราชวงศ์จักรี
สมัยที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสวยราชย์ใหม่ๆ พระเจ้าปะดุงของพม่ากล้ายกทัพมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ รัชกาลที่ 2 ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดหาทัพจากเมืองหลวงยกไปป้องกัน พวกพม่าจึงแตกกระจัดพลัดพราย กระเสือกกระสนหนีตาย วิ่งไปเพื่อให้พ้นคมดาบ ของมนุษย์พันธุ์ยูเลีย (ไทย)
พ.ศ. 2362 พม่าผลัดแผ่นดิน ได้ปะหยิ่น (กษัตริย์) ใหม่ พระเจ้าจักกายแมงได้ครองราชย์ พอมีข่าวเข้าหูว่าเกิดกู๊ซิ้ดหยอก้ะ (โรคระบาด) ในไทย ปะหยิ่นองค์นี้ก็ยุให้พระยาไทรบุรีตีหัวเมืองปักษ์ใต้ ส่วนทหารพม่าก็ชุมนุมสุมหัวอยู่ที่เมาะตะมะ ฝ่ายไทยได้ทราบ รัชกาลที่ 2 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดทัพไปสกัดไว้หลายแห่ง
ต่อมาพม่าทะเลาะกับอิงกะลิ (อังกฤษ) เรื่องเมืองยะไข่กับมณีปุระ สองประเทศที่ว่าหันหน้าเข้ามาซัดกัน ผลก็คือ อิงกะลิชนะ พม่าจึงตกเป็นขี้ข้าฝรั่ง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พม่าไม่เคยเข้ามารบกับไทยอีกเลยจนกระทั่ง ปัจจุบันทุกวันนี้
ผู้อ่านท่านยังจำองค์เชียงสือของญวนได้นะครับ เมื่อเกิดกบฏไกเซิน พระองค์เข้ามาสวามิภักดิ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อไทยให้กำลังพลมอบคนไปช่วยปราบกบฏได้สำเร็จ องค์เชียงสือก็ตั้งตนเป็นกษัตริย์ พระนามว่า เจ้าพระยาลอง พระองค์ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายด้วยความระลึกนึกถึง ในพระมหากรุณาธิคุณตลอดรัชกาล ครั้นรัชกาลที่ 1 สวรรคต พระเจ้าเวียดนามยาลองยังได้ทรงจัดคณะทูตมาถวาย บังคมพระบรมศพ
ส่วนไอ้อกตัญญูไม่รู้คุณข้าวแดงแกงร้อนเห็นจะเป็นเจ้าเขมร ตอนรู้ว่าจามจะยกทัพมาตี นักองเองและพระญาติพระวงศ์เขมรเข้ามาพึ่งพระบรม โพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อนักองเอง ทิวงคตก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยากลาโหมซึ่งเป็นฟ้าทะละหะ เป็นผู้สำเร็จราชการ พอฟ้าทะละหะถึงแก่กรรม ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักองค์จันทร์เป็นสมเด็จพระอุทัยราชาปกครองเมืองเขมรสืบต่อมา
ถึงสมัยรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย คาดว่าจะมีศึกพม่าเข้ามารุกรานตอนผลัดแผ่นดิน จึงมีพระราชสาส์นตราไปถึงสมเด็จพระอุทัยราชาให้เกณฑ์ทัพเขมรเข้ามาช่วย แต่สมเด็จพระอุทัยราชาแกล้งเฉย
ส่วนพระมหาอุปโยราช พระยาจักรี พระยากลาโหม และพระยาสังคโลกยังนึกถึงข้าวแดงแกงร้อนของไทย จึงจะกะเกณฑ์กำลังไพร่พลมาช่วย สมเด็จพระอุทัยราชารู้ก็โกรธ สั่งให้พระยาแสนท้องฟ้า พระยาราชอาณา คุมกำลังไปจับพระยาจักรีและพระยากลาโหมฆ่าทิ้งทั้ง 2 คน ส่วนพระยาสังคโลกรู้ตัวทันจึงหนีเข้ากรุงเทพฯ
พระอุทัยราชาเกรงว่ามหาอำนาจชาติไทยจะไปปราบ จึงคลานกระดึบๆ ไปพึ่งญวน ไปทรงมุสากล่าวหาว่าพระยาสังคโลกเป็นกบฏ เจ้าญวนไม่รู้ความจริงก็ส่งทหารมาช่วย ครั้นความจริงปรากฏแท้แน่ชัดก็เลิกและยกทัพ กลับเวียดนาม
พระมหาอุปโยราชไม่พอพระทัยในการกระทำของเจ้าเขมร จึงพา ไพร่พลหนีมาตั้งอยู่ที่โพธิสัตว์ ทางกรุงเทพฯ รู้ข่าวก็ส่งเจ้าพระยายมราช ออกไปไกล่เกลี่ย แต่พระอุทัยราชาไม่ฟัง กลับหนีไทยไปอยู่ไซ่ง่อน เจ้าพระยา ยมราชจึงเผาเมืองพนมเปญ กะพงหลวง และบัณทายเพชร แล้วจึงเชิญเสด็จพระมหาอุปโยราชมากรุงเทพฯ
สมเด็จพระอุทัยราชากลับมาครองเมืองพนมเปญและยอมไปขึ้นกับญวน แถมตอนหลังยังยุญวนให้ยกทัพมาตีเมืองพระตะบองและเสียมราฐ แต่ไทยรู้ตัวก่อนจึงไล่ตีทัพญวนและเขมร ทหารเขมรกะญวนแตกทัพ วิ่งหนีทหารไทยไปยังกะหมูกะหมา
สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ไทยคือมหาอำนาจชาติอันดับหนึ่งใน “สุวรรณภูมิ”.
นิติภูมิ นวรัตน์
http://thairath.co.th/news.php?section=international01&content=102250

26 August 2008

ประวัติศาสตร์จีน อย่างย่อ ๆ

ยินดีต่อมหาอำนาจโลกชาติใหม่ [26 ส.ค. 51 - 15:33]

ขณะที่ ลากปากการับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพในฉบับอังคารวันนี้ผมกำลังชมพิธีปิดกีฬา โอลิมปิก ค.ศ.2008 ยอมรับนะครับว่า มหกรรมกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้ ทำให้ทั้งโลกเชื่อได้แน่สนิทอย่างไม่ติดใจ ว่าสาธารณรัฐ ประชาชนจีนก้าวเข้าสู่ความเป็นมหาอำนาจชาติอันดับหนึ่งของโลกอย่างไม่มีข้อ กังขาสงสัย ไม่ว่าจะมีสื่อมวลชนคนไหนชาติใดกระแทกกระทุ้งพยายามดึงจีนให้ลงต่ำ ก็คงจะเล่นงานจีนได้ไม่สำเร็จ

ย้อนหลังไปในอดีตก่อนโน้น สองฟากฝั่งแม่น้ำฮวงโหมีมนุษย์เผ่าพันธุ์ ต่างๆ มากมายหลากหลายอาศัยอยู่ กระทั่งเมื่อ 4,600 ปีก่อน หวงตี้ชนะเหยียนตี้ ซึ่งเป็นทายาทของเสินหนงซื่อและซือโหยว จึงประกาศตัวตั้งตนขึ้นเป็นประมุขชนเผ่าต่างๆ มีแสนยานุภาพแผ่ไปในตลอดลุ่มน้ำตอนกลางไปจนถึงปากแม่น้ำฮวงโห

วันเวลานาทีที่หวงตี้ตั้งตนเป็นคนนำดินแดนแคว้นนี้นี่แหละครับ ประเทศจีนจึงอุบัติขึ้นมาในโลกมนุษย์ เวลาต่อมาไม่นานนัก เหวยจู่ มเหสีของพระเจ้าหวงตี้ก็ค้นพบวิธีเลี้ยงไหม พระเจ้าหวงตี้กับบรรดาผู้ช่วยก็เริ่มก่อร่างสร้างพระราชวัง ริเริ่มจัดทำเสื้อผ้าอาภรณ์ รัถนาวา อาวุธธนูคันศร เริ่มประดิษฐ์ตัวอักษร ระบบปฏิทิน ดนตรี มีการใช้เครื่องยาสมุนไพรในการรักษาโรคของผู้คนในปกครอง ฯลฯ

ต่อมามีการสถาปนาราชวงศ์ซย่า เป็นครั้งแรกที่มีตำแหน่งเจ้าผู้ครองราชย์ มีการสืบสันตติวงศ์ นำลูกหลานของกษัตริย์ขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์

ราชวงศ์แรกของจีนดำรงคงอยู่ได้ 500 ปี ก็มีราชวงศ์ซังขึ้นมาปกครองอีก 550 ปี ตามด้วยราชวงศ์โจว 770 ปี ก่อนที่ราชวงศ์ฉินจะขึ้นมาเป็นระยะเวลาสั้นๆ 15 ปี

ราชวงศ์ฮั่น 422 ปี ยุคสามก๊ก 46 ปี ราชวงศ์จิ้น 156 ปี ยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้ 170 ปี ราชวงศ์สุย 38 ปี ราชวงศ์ถัง 290 ปี ยุคห้าราชวงศ์ สิบอาณาจักร 54 ปี

ราชวงศ์ซ่ง 320 ปี ราชวงศ์หยวน 98 ปี ราชวงศ์หมิง 277 ปี และราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้าย มนุษย์ในราชวงศ์ชิงครองราชย์อยู่ได้ยาวนาน 267 ปี

ราชวงศ์ของจีนสิ้นไป เพราะในรัชศกกวงซี่ว์ปีที่ 31 ดร.ซุนยัดเซน ร่วมมือกับหวงซิง รวมพลังจับมือกับสมาคมซิงจง หฺวาซิง และกวงฟู่ เข้าเป็นสมาคมเดียว เรียกว่า สมาพันธ์ถงเหมิงแห่งชาติจีน (ถงเหมิงฮุ่ย) โดยมีเป้าหมาย “ขับไล่แมนจู ฟื้นฟูชาติจีน สถาปนาประชาชาติ และกระจายสิทธิ์ครองที่ดิน”

ผู้คนศรัทธา ดร.ซุนยัดเซนแทนที่จะเชื่อถือศรัทธากษัตริย์ เพราะ ดร.ซุนยัดเซนเข้าใจความต้องการของประชาชนคนฟื้นราก ท่านประกาศหลักการสำคัญ 3 อย่างลงในหนังสือพิมพ์หมินเป้า คือ หลักการประชาชาติ ประชาธิปไตย และประชาชีพ

มนุษย์คนใดจากชาติพันธุ์ไหนก็ตาม ทำงานมุ่งมั่นปฏิวัติเปลี่ยนแปลงความเป็นไป โดยมีประสงค์เพียงเพื่อช่วยเหลือบุคคล ความมุ่งมั่นนั้นย่อมไม่เป็นผล คนบางกลุ่มของไทยก่อร่างสร้างพรรคการเมืองเพียงเพื่อแก้ไขสถานะของเจ้านาย เก่า อุดมการณ์ตื้นแคบอย่างนี้ ไม่มีวันประสบความสำเร็จดังที่มุ่งมาดปรารถนาหรอกครับ

ลองดูตัวอย่างการก่อตั้งของคนจีนที่ทำงานประสบความสำเร็จ

ดร.ซุนยัดเซนก่อตั้งสมาคมซิงจงตั้งแต่ พ.ศ. 2437 โดยมีเป้าหมายว่าจะ “ขับไล่อนารยชน ฟื้นฟูชาติจีน สถาปนารัฐบาลมหาชน” ทำคนเดียวอยู่ตั้งนาน ไม่ประสบความสำเร็จ จึงไปร่วมกับสมาคมหฺวาซิง ซึ่งก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2446 ซึ่งมีเป้าหมายที่จะ “ขับไล่อนารยชน ฟื้นฟูชาติจีน” และไปรวมกับสมาคมกวงฟู่ ที่ก่อตั้งใน พ.ศ. 2447 สมาคมนี้มีคำขวัญ “ฟื้นฟูชาติฮั่น นำแผ่นดินคืน ร่างอุทิศให้ชาติ งานสำเร็จถอนตัว”

เมื่อรวมกันเป็น “พันธมิตรเพื่อการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์” แล้ว พวกนี้ก็ค่อยทยอยปฏิบัติการในยุทธการต่างๆ เช่น ยุทธการเนินดอกไม้เหลือง จนกระทั่งมีการสถาปนาสาธารณรัฐจีนเมื่อ 1 มกราคม พ.ศ. 2455 และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492

59 ปีพอดีที่จีนดิ้นรนฝ่าฟันอุปสรรคนานานัปการ กว่าจะเข็นประเทศที่เคยถูกดูหมิ่นถิ่นแคลนจากบรรดาชาติตะวันตกว่ากระจอกงอก ง่อย ประเทศที่เคยถูกบางชาติเอเชียด้วยกันที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ หลอกกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำอีก

การเมืองที่นิ่ง ท้องทะเลเงียบสงบไร้พายุโหมโจมกระหน่ำ รัฐนาวาที่ลากสาธารณรัฐประชาชนจีนข้ามทะเลกว้างจึงสามารถพาได้มาถึงฝั�ง บรรลุฝันอันยิ่งใหญ่

ในฐานะที่เป็นคนไทยซึ่งเป็นชาติเอเชียด้วยกัน ในฐานะที่มีบรรพบุรุษบางท่านเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาอยู่เมืองไทย นิติภูมิขอแสดงความยินดีต่อมหาอำนาจชาติใหม่ของโลก....สาธารณรัฐประชาชนจีน

และขอขอบคุณสาธารณรัฐประชาชนจีนแทนชาวเอเชียที่ท่านทำให้คนเอเชียด้วยกัน รู้สึกว่า เผ่าพันธุ์ผิวเหลืองผมดำก็มีพละกำลังและมีโอกาสบนโลกใบนี้.

นิติภูมิ นวรัตน์

http://thairath.co.th/news.php?section=international01&content=101870

15 August 2008

ประวัติศาสตร์ไทย รัชกาลที่ 1

เขมร ญวน และพม่า ในสมัยรัชกาลที่ 1 [15 ส.ค. 51 - 19:55]

นิติ ภูมิได้รับคำแนะนำจากท่านผู้ใหญ่ให้ค่อยๆทยอยนำ ประวัติศาสตร์ไทยในส่วนที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับเพื่อนบ้านมารับใช้ ในคอลัมน์เปิดฟ้าส่องโลก เพื่อให้เยาวชนคนไทยได้รู้ประวัติศาสตร์ ชาติของตัวอย่างแท้จริง เบื้องแรก ท่านแนะนำว่ายังไม่ต้องย้อนประวัติศาสตร์ไปให้ไกลนัก ควรเริ่มตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช

กราบขอบพระคุณท่านที่กรุณาแนะนำ นิติภูมิมีความคิดเช่นนี้เหมือนกันครับ ขออนุญาตเริ่มต้นที่กรณีกัมพูชา ต้นรัชกาลที่ 1 เมื่อมีข่าวว่าจามจะยกทัพมาตีเขมร พระยายมราชและพระยากลาโหม (ปก) จึงพานักองเองและพระญาติพระวงศ์เขมรเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารรัชกาลที่ 1 ของไทย

สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงรับรองนักองเองอย่างพระราชบุตร บุญธรรม เมื่อไทยไปปราบจามได้แล้ว รัชกาลที่ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักองเองกลับไปครองเมืองเขมร ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี” และให้พระยาอภัยภูเบศรปกครองเมืองเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ โดยให้ขึ้นกับไทยโดยตรง

3 ปีต่อมา นักองเองทิวงคต จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยากลาโหมซึ่งเป็นฟ้าทะละหะเป็นผู้สำเร็จ ราชการ พอฟ้าทะละหะถึงแก่กรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นักองจันทร์เป็น “สมเด็จพระอุทัยราชา” ไปปกครองเมืองเขมรสืบไป

เหตุการณ์ตอนปลายรัชกาลที่ 35 แห่งกรุงศรีอยุธยา ไทยเสียกรุงแก่พม่าเพราะความเสื่อมเรื้อรังในสถาบันการเมืองและสังคม คนไทยทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างรุนแรง บางกลุ่มทั้งดื้อทั้งบ้า ความเสื่อมยังมาจากการที่ไทยไม่มีผู้นำเด็ดขาด ไพร่พลก็ค้นหาแต่ความสุขสนุกสบาย ไม่พร้อมรบ และร้ายที่สุดก็คือ เกิดไส้ศึกภายใน

ราชอาณาจักรไทยแตกเมื่อ พ.ศ.2310 ต่อมา ไทยเราก็เข้าสู่ยุคกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงปกครองบ้านเมืองอยู่นาน 15 ปี ไทยเราก็เข้ายุคกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ พ.ศ.2325

ณ เวลานั้น ไทยยิ่งใหญ่และเรืองอำนาจที่สุดใน “สุวรรณภูมิ”

ไม่ต้องให้ใครศาลโลกไหนมาตัดสินว่าเขมรใช่ของไทยหรือไม่ หากประวัติศาสตร์อย่างนี้แพร่ขยายกระจายออกไปเป็นหลายภาษา ประชาชนคนทั้งโลกก็จะเข้าใจความยิ่งใหญ่ของคนพันธุ์ไทยในสุวรรณภูมิได้เป็น อย่างดี

ความยิ่งใหญ่ของไทยในสมัยแรกเริ่มกรุงรัตนโกสินทร์กระจายไปไพศาล แม้แต่ญวนก็ยังต้องยอมรับ รัชสมัยรัชกาลที่ 1 ของไทย ในเมืองญวนเกิดกบฏไกเซิน เจ้าในราชวงศ์ญวนคือองเชียงสือจึงเข้ามาสวามิภักดิ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอด ฟ้าจุฬาโลก พระองค์ทรงชุบเลี้ยงเป็นอย่างดี

ต่อมาองเชียงสือขอกำลังไปไทยไปปราบกบฏ โชคดีที่ตอนนั้นมีกองกำลังญวนอาสาสมัคร และกองทัพฝรั่งเศสเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน พวกกบฏจึงแพ้ราบคาบ องเชียงสือเจ้าญวนที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงชุบเลี้ยงไว้ จึงได้ตั้งตนขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้ายาลอง พระองค์ทรงส่งเครื่องราชบรรณาการ มาถวายด้วยความระลึกในพระมหากรุณาธิคุณรัชกาลที่ 1 ตลอดรัชกาล

ส่วนพม่าที่เพิ่งชนะไทยไปเมื่อ 18 ปีก่อน ตอนหลังพระเจ้าปะดุง ได้สืบราชสมบัติ ก็ยกทัพอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรมาตีไทยถึง 7 ครั้งในสมัยรัชกาลที่ 1

มนุษย์พันธุ์ไทยในสมัยนั้นแข็งแกร่งและมีความสามัคคีสูง ถึงได้ชัยชนะในสงครามครั้งแรกที่พระเจ้าปะดุงจัดมาถึง 9 ทัพใหญ่ เจ้าพม่าพาทหารมามากมายก่ายกองถึงแสนสี่หมื่น ขณะที่ไทยเพิ่งเริ่มสร้างตัวและมีพลเมืองเพียงเจ็ดหมื่น

พ.ศ.2328 ไทยชนะพม่าในสงครามเก้าทัพ พม่าได้รับความอัปยศอดสู จึงเดินทางมาแก้ตัวใหม่ใน พ.ศ.2329 แต่ก็แพ้ไทยอีกที่ท่าดินแดง พ.ศ.2330 เรารบชนะพม่าที่ลำปางและป่าซาง และในปี เดียวกันนี้ ไทยยกทัพไปตีเมืองทวาย

3 ปีต่อมา เจ้าเมืองทวายขอสวามิภักดิ์ไทย พ.ศ.2340 กองทัพไทยตีพม่าแตกกระจายที่เชียงใหม่ และ พ.ศ.2345 พม่าแพ้ไทย ถูกไล่ออกจากเขตล้านนา

บัดนี้ กลาง พ.ศ.2551 การเมืองเรื่องยุ่งวุ่นวายของไทยได้สงบจบลง จึงเป็นโอกาสที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศจะได้มาร่วมชุมนุมสุมความคิด เพื่อรวมตัวช่วยกันสร้างราชอาณาจักรไทยให้ยิ่งใหญ่ เหมือนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช.

นิติภูมิ นวรัตน์


http://thairath.co.th/news.php?section=international01&content=100614

03 August 2008

การใช้งานคอม ฯ แบบลัด

30 ทริคเล็กน้อยเกี่ยวกับคอมพ์
1. ในขณะที่คุณกำลังจะ Restart เครื่องใหม่ ก่อนที่จะกดปุ่ม OK ให้คุณกด Shift ค้างไว้ จะทำให้คุณ Restart ได้เร็วขึ้น
2. ในบาง Web Site หากคุณกด Ctrl ค้างไว้ และเลื่อน Scroll ที่ Mouse จะทำให้ตัวอักษรของ Web Site นั้นใหญ่ขึ้น
3. หากกดปุ่ม Refresh หรือ F5 แล้วยังเป็นข้อมูลเดิม ลองกด Ctrl + F5 รับรองจะได้ข้อมูลที่ใหม่ล่าสุดแน่ๆ
4. คุณสามารถเปิดไฟล์ Tips.txt ขึ้นมาเพื่ออ่านเทคนิคต่างๆ ได้ ซึ่งไฟล์นี้จะอยู่ใน c:windows ของคุณ
5. ในระหว่างที่คุณกำหลังใช้งาน IE อยู่นั้น สามารถกดปุ่ม F4 เพื่อเป็นการเปิดดู URL List ในช่อง Address ได้เลย
6. การกดปุ่ม Esc ระหว่างการใช้ IE จะทำให้ IE ของคุณนั้นหยุดโหลดได้ โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Stop
7. ระหว่างการใช้ IE สามารถกดปุ่ม Alt + D หรือ Ctrl + Tab เพื่อเข้า Address bar อย่างเร็วได้
8. คุณสามารถเพิ่มความเร็วให้กับ Internet ได้โดยทำการถอดสายเครื่องโทรศัพท์ ที่มีการต่อพ่วงอยู่กับสายที่ใช้ต่อ Internet ออก
9. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า welcome กด Enter เพื่อเปิดหน้าต่างต้อนรับของ Windows ได้
10. ที่ Notepad หรือ ICQ หากคุณลืมเปลี่ยน Mode ภาษา ให้กดปุ่ม Ctrl + Back Space เพื่อแก้คำที่พิมพ์ผิดไปแล้ว
11. คุณสามารถ เปิด Folder Desktop อย่างรวดเร็ว โดย Start -> Run พิมพ์จุด (.) ลงไปแล้วกด Enter
12. ใน IE สามารถกด Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้า Page ลงได้ ส่วนเลื่อนขึ้นคือ Shift + Space Bar
13. ใน Windows คุณไม่สามารถ สร้าง Folder ที่ชื่อ "con" ได้
14. ใน IE ที่ช่อง Address ปุ่ม Ctrl+Enter สามารถช่วยคุณ
ในการพิมพ์ URL ได้เร็วยิ่งขึ้น
15. การกด Ctrl ค้างเอาไว้ ตอนเวลา BOOT เครื่อง จะทำให้คุณไม่พลาด Startup Menu
16. คุณสามารถปิดนาฬิกาที่ Taskbar ได้ โดยคลิกขวาที่ Task bar > Properties > เอาเครื่องหมาย Show Clock ออก
17. หากคุณกด F11 ใน Windows Explorer จะช่วยให้มีการทำงานที่สะดวกขึ้น
18. ใน ICQ การส่ง Message หากคุณกด Ctrl+Enter จะสะดวก กว่าการ Click Mouse ที่ปุ่ม send
19. คุณสามารถกด F2 เพื่อ ใช้ในการเปลี่ยนชื่อ Icon ต่างๆ ได้
20. การกด F5 ใน NotePad จะเป็นการแทรก เวลา และวันที่ ปัจจุบัน
21. การกด Windows + E จะเป็นเปิด Windows Explorer ขึ้นมา
22. เปิด System Properties อย่างรวดเร็วคือการกด Window + Pause Break
23. การย่อยทุกๆ หน้าต่างที่เปิดใช้งาน ให้ยุบไปให้หมด คือการกด Window + D ถ้าจะขยายคืนมาอีก ให้กดซ้ำ
24. การเคาะวรรคในโปรแกรม Dreamweaver คือ Shift + Ctrl + Space Bar ส่วนการเว้นบรรทัดคือ Shift + Enter
25. การลบไฟล์แบบ ไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin คือการกด Shift + Delete
26. การกด Shift ค้างไว้ เวลาใส่แผ่น CD-Rom จะเป็นการไม่ให้มันเปิด Autorun ของแผ่น CD-Rom นั้นขึ้นมา
27. การ Restart เครื่องอย่างเร็ว คือไปที่ Start -> Shut Down... -> Restart จากนั้น ก่อนที่จะ OK ให้กด Shift ค้างเอาไว้
28. ในระหว่างใช้ Browser คุณสามารถกดปุ่ม Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าลง และ Shift + Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้าขึ้นได้
29. กด Shift + คลิก จะเป็นการเปิดหน้าต่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้อง back กลับ
30. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า hwinfo /ui กด Enter เพื่อดูรายงานต่างๆ ของ HardWare
ข้อมูลจาก : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1128937

01 August 2008

แง่คิด ดีๆ ของ ตอเรส


Fernando Torres: My inspiration


ชีวิตคนเรา "ความสำเร็จ" ส่วนหนึ่งได้มาจาก "แรงบันดาลใจ" และสำหรับยอดหัวหอกเจ้าของแชมป์ยูโรหมาดๆ อย่าง เฟร์นานโด ตอร์เรส แห่ง "หงส์ แดง" ลิเวอร์พูล แล้ว แน่นอน เขามีแหล่งที่มาของแรงบันดาลใจเพียบ

คุณเรียนรู้อะไรจากโค้ชคนแรก ?
ตอร์เรส : ผมมีโค้ชหลายคน ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ แต่โค้ชคนแรกในเส้นทางอาชีพคือ มาโนโล่ รานเคล ที่ แอตเลติโก ซึ่งผมน่าจะอายุ 10 ขวบ เขาเป็น คนแรกที่บอกผมว่า ผมจะได้เล่นฟุตบอลในลีกสูงสุด แต่เขาก็เตือนผมว่าไม่ควรลืมหาความสุขให้ตัวเอง เขาจะให้เราเลือกการวิธีการซ้อมเอง ผลัดกันคนละวัน เขาจะถามหนึ่งในกลุ่มเด็กๆ ว่า - วันนี้อยากทำอะไร ? - คุณลืมรายละเอียดของมันเมื่อวันเวลาผ่านไป แต่สิ่งที่เขาสอนผมวันนั้นยังอยู่กับผม นั่นคือ สนุกกับตัวเอง
แล้วผู้คนตามท้องถนนหละ ?
ตอร์เรส : ผมจำวันที่ย้ายมาเล่นกับ ลิเวอร์พูล ได้ ผมอยู่ที่สนามบินมาดริด ผู้คนเยอะแยะ กล้องเต็มไปหมด มันเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ พ่อแม่ยังโมโหเลยที่ผมย้าย มีชายสูงอายุคนหนึ่ง เขาดูโมโห เดินมาและพูดว่า - น่าเสียดายที่นายย้ายจาก แอตเลติโก แต่ฉันรู้ว่า นายจำเป็นต้องย้ายไปเพื่อเติมเต็มศักยภาพตัวเอง และเพื่อเป็นใน สิ่งที่นายเป็นได้ เพื่อแสดงให้โลกรู้ในสิ่งที่เรารู้แล้ว แสดงให้เห็นว่านายเก่งยังไง - เมื่อคุณเล่นฟุตบอล นี่คือช่วงเวลาที่คุณได้รู้ว่า มีคนรัก-เป็นห่วงคุณในฐานะคนๆ หนึ่ง ผมเก็บคำพูดนั้นไว้ในใจ ผมเคยเจอแบบนี้มาบ้าง แต่นี่ต่างออกไป เขาเป็นลุงวัย 60 เป็นคนที่รัก แอตเลติโก ทั้งหัวใจ แต่วินาทีนั้นเขาเป็นห่วงผมมากกว่าสิ่งอื่น สิ่งที่ทำให้มันพิเศษมากขึ้นคือ ผมได้รู้ว่า นี่คือสิ่งที่ ฟุตบอลกำลังสูญเสียไปทีละนิด ผมจะเก็บคำพูดนั้นไว้กับตัวอีกนาน มันเป็นแรงผลักดันของผม
คุณพ่อสอนอะไรคุณบ้าง ?
ตอร์เรส : ผมว่าเราคือภาพสะท้อนของพ่อแม่ ผมไม่เคยทำตัวเด่น และจะขี้อายเวลาเป็นเป้าสนใจ แต่เมื่อไหร่ที่ผมออกมาอยู่ข้างหน้า ผมรู้ว่ามีพ่ออยู่ ข้างหลัง ผมจำได้ตอนอายุ 11-12 ขวบ และลงเล่นให้ แอตเลติโก ที่ เลกาเนส ซึ่งโค้ชตัดสินใจเปลี่ยนตัวผม มีคนมาดูเกม และเขาโห่ผม ผมเงยหน้า มองไปที่เขา และพ่ออยู่ที่นั่น ข้างๆ เขา พ่อ ไม่พูดอะไร ไม่แม้แต่จะชำเลืองมอง พูดต่อว่า หรือ หาเรื่องเขาอย่างที่ผู้ปกครองบางคนอาจจะทำ พ่อยืนเฉยๆ ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น พ่อเป็นแบบนี้ อยู่ตรงนั้น ให้กำลังใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บางคนอาจเซอร์ไพรส์ แต่มันเป็นภาพสะท้อนบุคลิกของพ่อ วิถีทางที่พ่อเป็น การยอมรับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น และช่วงเวลานั้นผมได้เรียนรู้จากพ่อ มันเป็นสิ่งที่ผมต้องอดทนให้ได้ เสียงด่า และ เสียงวิจารณ์จากคนที่ไม่รู้จักผม ผมเจอแบบนี้ในสนามที่เต็มไปด้วยคนดู แต่ผมรู้ว่าพ่ออยู่บนนั้น คอยดูผมอยู่
แล้วคุณแม่หละ ?
ตอร์เรส : ผมเรียนรู้เรื่องการเสียสละตัวเอง แม่เสียสละอะไรมากมายเพื่อเติมเต็มความฝันของผม แม่ไม่ทำงาน เพราะยุ่งกับการไปรับส่งผมที่สนาม ซ้อม จาก ฟวนลาบราด้า ไป มาดริด ซึ่งคุณต้องขึ้นรถไฟ ต่อด้วยรถบัส ตามด้วยการเดินข้ามสวนสาธารณะ เริ่มต้นตอน 8 โมงเช้า และอีกทีตอน 6 โมงเย็น ทั้งหมดเพื่อให้ลูกชายมีความสุข แม่-พ่อให้ความสำคัญกับการดูแลลูกชายของพวกท่านมากกว่าตัวเอง ผมมีความสุขเวลาเห็นคนรายล้อมมีความสุข มากกว่าตอนผมมีความสุขกับตัวเอง
แฟนของคุณ โอลาย่า ?
ตอร์เรส : ผมเรียนรู้จากเธอเช่นกัน มันจะเป็นแบบนี้ตอนคุณพบกับใครบางคนที่คุณอยากใช้ชีวิตด้วย คุณมีสิ่งต่างๆ มากมายร่วมกัน ได้เรียนรู้จาก กันและกัน สำคัญที่สุดเลยก็คือ พวกเขาให้ในสิ่งที่คุณไม่มี แฟนผมมีอิทธิพลอย่างเงียบๆ เมื่อไหร่ก็ตามผมรู้สึกหุนหัน เวลาอะไรๆ มันไม่ได้เป็นไปด้วยดี หรือเวลาเราแพ้ เธอรู้ว่าทำยังไงผมถึง จะเย็นลงเวลามองไปที่ปลายอุโมงค์แล้วไม่เห็นอะไรเลย หรือ ปลุกผมจากฝัน เธอผลักดันผมเวลาต้องการแรงใจ บางครั้งคนที่อยู่กับคุณอาจจะเป็นคนเดียวที่ช่วยคุณได้ เวลาคุณไม่มีความสุข
คุณเรียนรู้อะไรจากการเล่นกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ?
ตอร์เรส : ผมชื่นชม สตีเว่น เจอร์ราร์ด เพราะผมรู้ว่า เขาแบกรับความกดดันขนาดไหน คนพูดถึงเขาทุกวัน ผมรู้จากประสบการณ์ว่า การรับมือ เรื่องพวกนี้ยากขนาดไหน ซึ่งสิ่งที่เขาเจอนั้นอยู่คนละระดับ เพราะ ลิเวอร์พูล เป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ ผมเป็นกัปตันทีมตั้งแต่อายุน้อยๆ ผมรู้ว่าทุกคนพูดเรื่องผม ผมรู้สึกได้เลย โดยเฉพาะเวลา อะไรๆ มันแย่ ทั้งหมดเกิดขึ้นกับ สตีวี่ ทุกวัน และเขารับมือกับมัน เขาถูกคาดหวังตลอดเวลา เขาโดนกดดันว่า ต้องเล่นให้ดี หวังเห็นเขาแสดงความเป็นผู้นำออกมา พาทีมไปข้างหน้า เขาเป็น แบบอย่างที่ดี พวกเราที่เคยอยู่ในสภาพแบบนั้นรู้ดีว่ามันรับมือได้ยากขนาดไหน สิ่งที่เขาแสดงออกเลยน่าเหลือเชื่อมาก ผมเองก็อยากเป็นกัปตันทีมของทีมๆ หนึ่งในอนาคต และ สตีเว่น แสดง ให้ผมดูว่า ผู้นำที่ดีเป็นยังไง
ได้อะไรจากผู้ตัดสินบ้างมั้ย ?
ตอร์เรส : อย่างแรกเลย พวกเขาไม่ใช่ศัตรู ! เราทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง นักเตะ-ผู้ตัดสิน สมัยอยู่ สเปน ผมจะคุยกับผู้ตัดสินเรื่องฟุตบอล และเรื่องนั้นเรื่องนี้และคุณรู้มั้ย เราไม่ควรบ่นการตัดสิน, โมโห หรือ ประท้วงมากไป เพราะท้ายที่สุด พวกเขาก็แค่พยายามทำงานให้ดีที่สุด เราอยู่ในวงการเดียวกัน แต่ละเกมมีผู้ตัดสินคนเดียว มี ครั้งหนึ่งผมจำเหตุการณ์ได้ไม่ละเอียดนัก แต่ผมรู้ว่าผมเป็นเป้าโดนด่า เขาเดินมาหาผม และพูดว่า - รู้แล้วหละสิว่า ผมรู้สึกยังไงบ้างในแต่ละสัปดาห์ - ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน ผมเคยแต่ต่อ ว่าพวกเขา ตอนนี้ผมพยายามช่วยพวกเขาบ้าง เราต้องรู้ว่าทุกคนต่างทำงานของตัวเอง
ราฟา สอนอะไรคุณบ้าง ?
ตอร์เรส : กระตุ้นตัวเองทุกวัน ห้ามผ่อนเด็ดขาด เวลาคุณอยู่ในทีมที่อะไรๆ ดำเนินไปด้วยดี นักเตะก็จะเริ่มทำตัวสบายๆ แต่คุณต้องผลักดันตัวเอง ตลอด อย่าชะล่าใจ พยายามมีวันที่ดีที่สุดเสมอ กับสโมสรอย่าง ลิเวอร์พูล แล้ว คุณจะมาทำตัวสบายๆ หลังจากยิง 20 ลูก และบอกว่า - เอาหละ พอแล้ว - ไม่ได้ หลังจากคุณยิงได้ 20 ลูก เบนิ เตส จะเคี่ยวคุณหนักต่อไป เขาต้องการสิ่งที่ดีที่สุดจากคุณทุกวัน เขาจะบอกคุณให้ทำโน่นทำนี่ด้วยตัวเอง และซ้อมแบบใหม่ๆ บางวันคุณจะคิดว่า - พระเจ้า ผู้ชายคนนี้ไม่ให้คุณได้หายใจหายคอ เลย! - ตอนนั้นคุณไม่คิดหรอกว่า เขาแค่อยากให้คุณพัฒนาตัวเอง ผมก็อยากมีชีวิตที่ก้าวหน้า ไม่ผ่อนตัวเอง ไม่หลงระเริง และคุณต้องการคนที่ใกล้ชิด กระตุ้นให้คุณก้าวต่อไป เราไม่วาดฝันว่า จะมีคนแบบนั้นอยู่ใกล้ชิดตัวเอง แต่ในระยะยาว ผมมั่นใจว่า ทุกคนจะคิดถึงเขา
แฟนบอลแอตเลติโก สอนอะไรคุณ ?
ตอร์เรส : ผมเป็นแฟนบอลแอตเลติโก ผมอยากมีโอกาสกลับไปที่นั่น บางทีผมอาจจะเจอพวกเขาใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ! และผมคิดว่าผมจะได้รับการ ต้อนรับที่ดี เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมเจอแฟนบอลแอตเลติโก ผมมองตัวเองว่าเป็นหนึ่งในพวกเขา และนั่นคือสิ่งวิเศษสุด มันคงหนักหนามากหากวันไหนผมกลับไปที่นั่นแล้วไม่เป็นที่ต้อนรับ ผมคงทำ อะไรไม่ถูก ผมหวังว่ามันคงไม่เป็นอย่างนั้น
แล้วแฟนบอลลิเวอร์พูล หละ ?
ตอร์เรส : คุณนึกภาพกองเชียร์ที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว พวกเขาสนับสนุนทีมจริงๆ ทั้งช่วงเวลาที่ดีและแย่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเขาจะอยู่ข้างผม และทีม เมื่อคุณสวมเสื้อสีแดงของ ลิเวอร์พูล พวกเขาเชียร์คุณสุดหัวใจ เชียร์กันจนตาย พวกเขาไม่ตำหนิคุณเวลาพลาด เพราะคุณสวมเสื้อลิเวอร์พูล และพวกเขาไม่สนใจว่าชื่อหลังเสื้อจะเป็นใคร พวก เขาแฮปปี้กับนักเตะของพวกเขา และพวกเขาเป็นปลื้มเวลานักเตะเก่ากลับมากับทีมใหม่ เวลาสิ่งต่างๆ ไปด้วยดี พวกเขารักนักเตะของพวกเขา เวลาอะไรๆ ไปได้ไม่สวย พวกเขาก็ยังภูมิใจในทีม ตัวเอง ในฐานะนักเตะ เรารู้สึกได้ถึงแรงใจ 100 เปอร์เซ็นต์เต็มจากพวกเขา นี่คือสิ่งแตกต่างใหญ่หลวงระหว่างที่นี่ กับ สเปน
นักข่าวที่เขียนข่าวคุณหละ ?
ตอร์เรส : ผมเรียนรู้อะไรมากมายจากนักข่าว ! ท้ายที่สุด พวกเรานักฟุตบอลค่อนข้างอวดดี ส่วนใหญ่จะบอกว่านักข่าวที่ดีคือคนที่เขียนข่าวเราดีๆ ส่วนนักข่าวที่แย่คือ คนที่ใส่ร้ายป้ายสีเรา ผมรู้ว่ามีบางคนที่เขียน และวิจารณ์ผมแย่ๆ ไม่ใช่ในแนวทางที่อยากช่วยผม แต่เล่นงานผม ผมไม่บอกหรอกว่าใคร พวกนี้ไม่มีค่าให้คิดถึง ผมอยาก แสดงให้เห็นว่าพวกนั้นคิดผิดมั้ย ? ไม่ว่าผมจะทำอะไร ผมทำเพื่อตัวเอง แต่ใช่ บางทีผมอยากทำให้พวกนั้นสำนึก ตอนนั้นเสียงด่าของพวกเขาอาจถูกแต่ตอนนี้ ทุกครั้งที่ผมลงสนาม ผมมั่นใจว่า พวกนั้นจะพูด หรือเขียนถึงผมแบบนั้นไม่ได้แล้ว
สุดท้าย คุณได้อะไรจากการเดินทาง หรือ สถานที่ที่คุณไปท่องเที่ยว ?
ตอร์เรส : ผมเคยไปสถานที่ที่ยากลำบากอย่าง โพลีเนเชีย, โบร่า โบร่า, อะเมซอน ใน บราซิล หรือบางที่ใน เม็กซิโก ที่ซึ่งผู้คนโดนเอาเปรียบ หรือแทบ ไม่มีอะไรเลย และสิ่งที่โดนใจผมที่สุดคือ คนที่มีน้อยที่สุดมักเป็นคนที่พร้อมจะให้มากที่สุดเสมอ มันปราศจากสิ่งฟุ้งเฟ้อ หรือ ความอิจฉาริษยาแบบที่เราเจอในโลกของเรา ผมได้พบกับคนที่มีน้ำใจ และพร้อมแบ่งปัน มันน่าเหลือเชื่อ และบางทีมันทำให้คุณตระหนักว่า นักเตะอย่างเราใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ไม่เป็นจริง ผมอยากหาเวลาไปใช้ชีวิตอยู่โดยปราศจากสิ่งต่างๆ รายล้อม ทั้งเงินทอง และ ความอิจฉา ผมหนีไปตามที่เหล่านี้ และมันทำให้ผมอยากแบ่งปันสิ่งต่างๆ กับทุกคน จากนั้นพอผมกลับมายุโรป มันจะแบบว่า - มันไม่เหมือนกันเลย ว่ามั้ย ?
แป๊ก
http://www.siamsport.co.th/Columnhotnews533.html